Wednesday 5 November 2008

"...ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด หากอยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ "
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


หลายครั้ง... เราต้องประสบสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน เคล็ดลับของความสำเร็จ คือ ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ขอให้กล้าหาญและเชื่อมั่นและจะโชคดี
พระราชดำรัส
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี

Monday 3 November 2008

10 ธันวาคม 2551 : 76 ปี กับระบอบประชาธิปไตยไทย / รัอยโทวัชระ ขุนชิต

ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ Absolute Monarchy คือ ระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นผู้ปกครองและมีสิทธิ์ขาดในการบริหารประเทศ พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในการปกครองแผ่นดินและพลเมืองโดยอิสระ ในทางทฤษฎีพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะมีพระราชอำนาจทั้งหมดเหนือประชาชนและแผ่นดิน รวมทั้งเหนืออภิชนและบางครั้งก็เหนือพระด้วย แต่ในทางปฏิบัติพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มักจะถูกจำกัดอำนาจ
"พระบรมราชานุภาพของพระเจ้าแผ่นดิน กรุงสยามนี้ไม่ได้ปรากฏในกฎหมายอันหนึ่งอันใด ด้วยเหตุที่ถือว่าเป็นที่ล้นพ้น ไม่มีข้อสั่งอันใดจะเป็นผู้บังคับขัดขวางได้" เมื่อมีการปฏิวัติยึดอำนาจจากรัชกาลที่ 7 และเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยใน พ.ศ. 2475 พระราชอำนาจที่เคยมีมาอย่างล้นพ้นของพระมหากษัตริย์ได้ถูกจำกัดลงให้อยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญ
หนังสือพิมพ์รายงานเหตุการณ์การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 คือการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทย จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยคณะราษฎร ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยมีการเตรียมการเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้ายึดพระราชอำนาจจากรัชกาลที่ 7 ในเช้าวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นช่วงที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับที่วังไกลกังวล ประเทศไทยก็ล้มลุกคลุกคลานกับระบอบการเมืองการปกครองที่เรียกว่าระบอบประชาธิปไตยมาโดยตลอด จนกระทั่งในรัชกาลปัจจุบัน พระราชอำนาจทางการเมือง ในรัชกาลที่ ๙ ตามรูปแบบการปกครองระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และทรงอยู่เหนือการเมือง แต่ในบางโอกาสอันเป็นวิกฤตของประเทศ พระองค์จำเป็นต้องทรงใช้พระราชอำนาจ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินดำเนินต่อไปได้ หรือแม้แต่เพื่อให้ประเทศชาติยังคงดำรงอยู่สืบไป หลายเหตุการณ์ หลายผู้นำที่ผลัดกันขึ้นมามีอำนาจและบทบาททางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น นายกรัฐมนตรีที่มีบทบาทสำคัญทางการเมืองมีอยู่หลายท่าน เช่น จอมพลแปลก พิบูลสงคราม กับนโยบายและแนวคิดชาตินิยมอย่างรุนแรง และประสงค์ที่จะให้ประเทศไทยมีความเจริญเสมอนานาอารยประเทศ จอมพลแปลกในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีจึงมีนโยบาย "เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย" โดยพยายามชูบทบาทของตนเองให้โดดเด่นกว่าพระมหากษัตริย์ แต่ในที่สุดก็ไปไม่รอด โดนยึดอำนาจการปกครองจากจอมพลสฤษฎดิ์ ธนะรัชต์
เหตุการณ์ทางการเมืองที่น่าสนใจอีกเหตุการณ์หนึ่ง คือ สมัยพลเอกสุจินดา คราประยูร เหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ" ที่มีสาเหตุมาจากการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง และความรู้สึกโหยหารัฐธรรมนูญ หลังเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม เมื่อปี พ.ศ. 2535 ประเทศไทยเข้าสู่ยุคของการตกต่ำทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี สำหรับคนเดือนพฤษภานั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มชนชั้นกลางที่ครั้งหนึ่งเคยมีบทบาทสูงมากทางสังคม และเป็นพลังที่เข้มแข็ง แต่ในปัจจุบันกลุ่มคนเหล่านี้ได้กลายเป็นกลุ่มผู้ที่มีอายุมากขึ้นความกระตือรือร้นและความสนใจยังคงมีอยู่แต่ขาด "พลัง" ที่หายและถดถอยไปตามวัย เป็นที่น่าสังเกตว่าในทุกยุคทุกสมัยที่มีการเรียกร้อง "จิตสำนึกทางการเมือง" กลุ่มคนที่ถูกตั้งคำถามถึงในช่วงเวลา 20-30 ปีที่ผ่านมาคือกลุ่ม "ปัญญาชน" หรือ "กลุ่มพลังนักศึกษา" ที่เป็นกลุ่มคนจำนวนมาก เป็น "ความหวัง" ที่คนรุ่นเก่าๆ ต่างมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก "ผิดหวัง" ความผิดหวังที่กลุ่มปัญญาชนที่มีการศึกษาสูงกลุ่มนี้ กลับเป็นกลุ่มทางสังคมที่ขาด "จิตสำนึกทางการเมือง" เป็นกลุ่มคนที่ไม่มีความกระตือรือร้น หรือสนใจกับ "ปัญหาของประเทศ" เพราะในอดีตที่ผ่านมา สังคมไทยได้อาศัย "พลังของนักศึกษา" เป็นกลุ่มคนที่ขับเคลื่อนทางสังคมมาโดยตลอด นักศึกษาในปัจจุบันต่างให้ความสนใจกับโลก "ส่วนตัว" ที่มีวงอันจำกัด สนใจในกลุ่มของตนเอง สนใจในเรื่องราวของตนเอง และมองสิ่งที่นอกเหนือจากกลุ่มของตนเป็น "เรื่องอื่น"ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ต้องยอมรับว่า "สังคม" เกิดการ "เปลี่ยนแปลง" จากสังคมที่มีความเข้มแข็ง เต็มไปด้วยศีลธรรมอันดีงาม ได้กลายเป็นสังคมแห่ง "วัตถุนิยม" และกลายเป็นสังคม "บันเทิงนิยม" ข่าวสารที่ผ่านสื่อต่างๆ ให้กลุ่มปัญญาชนได้รับรู้ จึงเป็นเรื่องราวที่เน้นความสนุกสนานที่ไม่มีสาระเป็นหลัก ข่าวที่เกี่ยวข้องกับ "การเมือง" เป็นเพียงหัวข้อสุดท้ายที่กลุ่มวัยรุ่นจะพูดถึง
เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2550 พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้นได้ทำการยึดอำนาจการปกครองจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น และพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข Council for Democratic Reform under Constitutional Monarchy หรือ CDRM ต่อมาได้ตัดคำว่า Under Constitutional Monarchy ออก เพื่อไม่ให้สื่อต่างประเทศนำไปตีความว่า คณะปฏิรูปฯ เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็น Council for Democratic Reform (อักษรย่อ CDR) โดยยังคงใช้ชื่อภาษาไทยตามเดิม โดยมีเหตุผลในการยึดอำนาจครั้งนี้ว่า การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล อันมี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ได้ก่อให้เกิดปัญหา ความขัดแย้งแบ่งฝ่าย สลายความรู้สึกรู้รักสามัคคีของ คนในชาติ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ประชาชนส่วนหนึ่งเคลือบแคลงสงสัยว่า การบริหารราชการแผ่นดิน ส่อไปในทางทุจริต ประพฤติมิชอบ อย่างกว้างขวาง หน่วยงานอิสระ ถูกการเมืองครอบงำ ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมือง เกิดปัญหา และ อุปสรรค หลายประการ แม้หลายภาคส่วนของสังคม จะได้พยายามประนีประนอม คลี่คลายสถานการณ์ มาโดยต่อเนื่องแล้ว ก็ไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้
หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ. ๒๕๔๙ ในวันที่ ๑ ตุลาคม ปีเดียวกัน คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แปรสภาพเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ โดย หัวหน้า คปค. ดำรงตำแหน่ง ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ประธานสภา และรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ สมาชิกสมัชชาแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
ประวัติศาสตร์ทำให้เรารู้ว่า คนไทยขาดความสามัคคี คนไทยขาดจิตสำนึกทางการเมือง ในช่วงที่เกิดปัญหากับบ้านเมืองไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงปัญหาอื่น ๆ มักจะมีสิ่งหนึ่งที่มักจะถูกตั้งคำถามในสังคมไทยอยู่เสมอ คือ "ความรู้สึกสำนึกและรับผิดชอบ" ที่ "คนไทย" มีต่อประเทศไทยนั้น มีมากน้อยในระดับใด เมื่อสังคมไทยขาดพลังความรับผิดชอบทางการเมืองของประชาชน สังคมไทยจึงเข้าสู่สภาวะการขาดซึ่ง "จิตสำนึกทางการเมือง" อย่างสมบูรณ์แบบด้วยเหตุที่ "ชนชั้นกลาง" มีพลังที่อ่อนแรงลงเรื่อยๆ ในการเรียกร้อง "ความชอบธรรม" และความถูกต้องทางการเมือง ประกอบกับ "พลังของนักศึกษา" ระดับปัญญาชนที่มี "ค่าเป็นศูนย์" สังคมไทยจึงเข้าสู่ยุคของการเมืองไทยที่ "ขาดการตรวจสอบ"การเมืองไทยในยุคหลังๆ จึงเป็นยุคที่นักการเมืองต่างเข้ามา "กอบโกย" ในลักษณะ "ได้ใจ" เพราะมั่นใจว่า "คนไทย" ขาดพลังที่จะแสดงออกทางการเมือง หรือพลังที่มีอยู่นั้นก็ไม่สามารถกดดัน หรือสร้างจิตสำนึกของการเป็น "นักการเมือง" ที่ดีได้ ปัญหาที่เกิดขึ้นทางการเมืองในช่วงหลังๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น การขาดจริยธรรมทางการเมือง การเล่นพรรคเล่นพวกและรักษาผลประโยชน์ของพวกพ้อง จึงเป็นสิ่งที่นักการเมืองรุ่นหลังต่าง "ย่ามใจ" เพราะรู้ว่าสังคมอ่อนแอและไม่มี "พลัง" ที่เคยเข้มแข็งเหมือนในอดีต "การเมือง" ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหัวข้อสำคัญที่คนในสังคมถกเถียงแสดงความรู้สึก ก็กลายเป็นหัวข้อลำดับสุดท้าย ที่คนในสังคมจะพูดถึง
การสร้าง "จิตสำนึก" และการปลูกฝั่งให้คนรุ่นใหม่ๆ ที่จะเติบโตขึ้นในสังคม ตระหนักถึง "ความสำคัญและผลกระทบของการเมือง" จึงเป็นความจำเป็นอันเร่งด่วน ที่ผู้คนในสังคมไทยต้องร่วมมือกันเพราะอนาคตของประเทศไทยต่างฝากไว้ที่ปัญญาชนกลุ่มนี้ ผลกระทบจากการเมืองในอดีตที่ผ่านมานับเป็นบทเรียนที่เปรียบเหมือน "กระจกเงา" ที่สะท้อนว่า ถ้าคนในสังคมขาดความรู้ และไม่ให้ความสนใจกับการเมืองเมื่อไหร่ ผลที่เกิดขึ้นนั้นก็สะท้อนกลับมาในลักษณะที่ไม่สามารถประเมินค่าความเสียหายได้ เศรษฐกิจที่ตกต่ำ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น การเอารัดเอาเปรียบในสังคม สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนมีผลกระทบมาจาก "การเมือง" ทั้งสิ้นประเทศที่คนในชาติขาด "จิตสำนึกทางการเมือง" จึงเป็นประเทศที่ไม่สามารถพัฒนาให้มีความเจริญรุดหน้าได้ ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่คนในสังคมต้องตระหนักถึงก็คือ เมื่อใดก็ตามที่ประเทศเกิดวิกฤตอันเนื่องมาจากการเมือง "การขาดจิตสำนึกทางการเมือง" ของคนในสังคมน่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
หมุด ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ มีข้อความว่า "...ณ ที่นี้ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎร ได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ เพื่อความเจริญของชาติ"เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร ได้ใช้กลลวง นำทหารบกและทหารเรือมารวมตัวกันบริเวณรอบ พระที่นั่งอนันตสมาคม ประมาณ 2000 คน ตั้งแต่เวลาประมาณ 5 นาฬิกา โดยอ้างว่าเป็นการสวนสนาม จากนั้นนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้อ่าน ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ ๑ ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เสมือน ประกาศยึดอำนาจการปกครอง ก่อนจะนำกำลังแยกย้ายไปปฏิบัติการต่อไปหลักฐานประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นหมุดทองเหลือง ฝังอยู่กับพื้นถนน บนลานพระบรมรูปทรงม้า ด้านสนามเสือป่า จะคอยตอกย้ำว่าเมื่อไรคนไทยรู้จักรู้รักสามัคคี รู้รับผิดชอบต่อหน้าที่ที่มีต่อบ้านเมืองของเรา

-------------------------------------
เอกสารอ้างอิง
กมล ทองธรรมชาติ การปกครองและการเมืองไทย พิมพ์ครั้งที่ 1 2521 กรุงเทพมหานคร บริษัทสำนักพิมพ์ ไทยวัฒนาพานิช จำกัด
จักษ์ พันธ์ชูเพชร การเมืองและการปกครองไทย : มิติทางประวัติศาสตร์ และสถาบันทางการเมือง พิมพ์ครั้งที่ 4 2545 กรุงเทพมหานคร บริษัท มายด์ พับลิชชิ่ง จำกัด
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ประวัติการเมืองไทย 2475 – 2500 พิมพ์ครั้งที่ 3 แก้ไขปรับปรุง 1ตุลาคม 2544 กรุงเทพมหานคร โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ชัยอนันต์ สมุทวานิช รัฐศาสตร์ 2535 กรุงเทพมหานคร สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ทินพันธุ์ นาคะตะ ประชาธิปไตยไทย กรุงเทพมหานคร โครงการเอกสารและตำรา
คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์2539-3854
http://www.matichon.co.th/

ความคิดเห็นเรื่องคุณลักษณะของนายทหารในนักเรียนนายร้อย ชั้นปีที่ 4

CADETS OPINION IN THE OFFICER CHARACTERISTIC
CHULACHOMKLAO ROYAL MILITARY ACADEMY
ร้อยโทวัชระ ขุนชิต (First Lieutenant Vajara Khunchit)
รักษาราชการอาจารย์ กองจิตวิทยาและการนำทหาร
กรมนักเรียนนายร้อย รักษาพระองค์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
บทคัดย่อ : โครงการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็นเรื่องคุณลักษณะของนายทหารในนักเรียนนายร้อย ชั้นปีที่ 4 โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โดยนำผลการวิจัยมาส่งเสริมและพัฒนา คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนนายร้อยที่จะสำเร็จการศึกษา จากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ไปเป็นนายทหารและผู้บังคับหน่วยของกองทัพบกในอนาคต และเพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข กฎ ระเบียบ คำสั่ง แบบธรรมเนียม หลักการปกครอง ข้อบังคับของนักเรียนนายร้อยเดิม ให้มีความยืดหยุ่นตามการเปลี่ยนแปลงของโลกและให้เป็นไปตามความต้องการของกองทัพ สังคม และประเทศชาติในภาวะปัจจุบัน โดยวัดจากแบบสอบถามและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรม SPSS
ผลการศึกษาพบว่าจากกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 113 นาย ส่วนใหญ่อยู่เหล่าทหารราบ(46.0%) นอกนั้นเป็นทหารปืนใหญ่(17.7%) ทหารช่าง(10.6%) ทหารม้า(8.0%) ทหารสื่อสาร(6.2%) ทหารแผนที่(5.3%) ทหารขนส่ง(2.7%) ทหารสรรพาวุธ(1.8%) และทหารสารวัตรกับทหารการข่าว (0.9%) อายุส่วนใหญ่อยู่ที่ 18 – 21 ปี นับถือศาสนาพุทธทั้งหมด นักเรียนนายร้อยส่วนใหญ่เลือกเหล่าในการเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเตรียมทหารเป็นเหล่าทหารบก 99 นาย ทหารเรือ 6 นาย ทหารอากาศ 3 นาย และตำรวจ 5 นาย อาชีพบิดาและอาชีพมารดาส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเป็นข้าราชการพลเรือน
ผลการศึกษาค่าคะแนนความคิดเห็นเรื่องคุณลักษณะของนายทหารในนักเรียนนายร้อย ชั้นปีที่ 4 โดยรวมพบว่ามีค่าคะแนน 130.25 เมื่อแยกเป็นเหล่ารบและเหล่าสนับสนุนการรบพบว่าเหล่ารบมีความคิดเห็นเรื่องคุณลักษณะของนายทหารดีกว่าเหล่าสนับสนุนการรบ ส่วนค่าเฉลี่ยของคะแนนคุณลักษณะผู้นำ 14 ประการในนักเรียนนายร้อยชั้นปีที่ 4 ค่าเฉลี่ยของคะแนนความไม่เห็นแก่ตัว มากเป็นลำดับที่ 1 รองลงมาเป็น ความเด็ดขาด ความริเริ่ม ความจงรักภักดี ความไว้เนื้อเชื่อใจ ลักษณะท่าทาง ความกระตือรือร้น ความพินิจพิเคราะห์ ความรอบรู้ ความรู้จักกาลเทศะ สุดท้ายพบว่านักเรียนนายร้อยมีค่าเฉลี่ยคะแนน ความกล้าหาญ ความอดทน ความซื่อสัตย์สุจริต และความยุติธรรม น้อย
คำหลัก : ความคิดเห็น,คุณลักษณะของนายทหาร,นักเรียนนายร้อย,โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
KEYWORD : Opinion,Officer ,Characteristic,Cadets,Chulachomklao Royal Military Academy